ทำไมการฝึกกลืนกับนักกิจกรรมบำบัด ถึงจำเป็นมากในคนไข้หลัง stroke

 


 

ภาวะกลืนลำบากพบได้บ่อยหลังจากเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

โดยผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองในระยะเฉียบพลัน จำนวน 50 เปอร์เซ็นต์จะมีการฟื้นตัวจากภาวะกลืนลำบากในช่วง  2-4 สัปดาห์หลังจากเจ็บป่วย จำนวน 15 เปอร์เซ็นต์ จะประสบปัญหาการกลืนลำบากเป็นเวลายาวนาน ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถรับประทานอาหารทางปากได้ตามปกติ การใส่สายให้อาหารทางจมูก (nasogas-tric tube : NGT) หรือ ใส่สายให้อาหารทางหน้าท้อง (percutaneous endoscopic gastrostomy: PEG) จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ การกลืนอาหารจะเป็นการทำงานผสานกันตั้งแต่ระยะช่องปาก ระยะคอหอย จนถึงระยะหลอดอาหาร โดยผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองส่วนใหญ่จะมีปัญหาการกลืนลำบากในระยะคอหอย ทำให้อาหารหลุดเข้าหลอดลมเกิดการสำลักได้ "ในการบำบัดรักษาผู้ที่มีปัญหาภาวะการกลืนลำบากจะต้องมีความรู้ มีทักษะที่ดี และนำเทคนิคใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการฝึกกลืน" เมื่อผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองได้รับการบำบัดรักษาอาการกลืนลำบาก จะช่วยให้มีการฟื้นตัวจากภาวะการกลืนลำบากเร็วขึ้น


การประเมินความสามารถทางการกลืน 

การฟื้นฟูความสามารถทางการกลืน จะต้องทราบสาเหตุของปัญหา ระดับความรุนแรง ของการกลืนลำบาก เพื่อใช้ในการวางแผนการฟื้นฟู ผู้ที่มีภาวะกลืนลำบากจะประเมินได้โดยพิจารณาประวัติผู้ป่วยและประวัติการเจ็บป่วย ได้แก่ อายุ วันที่เริ่มป่วย (onset) โรคและตำแหน่งรอยโรคที่เป็น และการเป็นโรคเดิมซ้ำ (recurrent) การประเมินศักยภาพทั่วไป ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร คุณภาพของเสียง ความสามารถทางการหายใจ ปริมาณน้ำลายในช่องปาก ประวัติการ

รับประทานทั้งก่อนและหลังป่วย ระยะเวลาที่ใช้ในการรับประทานอาหาร ประเมินภาวะทางโภชนาการและลักษณะอาหารที่ใช้รับประทาน การประเมินการทำงานของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการกลืน ได้แก่ ศีรษะ ปาก ลิ้น ฟัน ขากรรโกร เพดานปาก กล่องเสียงที่อาจพบ การอ่อนแรง การเคลื่อนไหวและการรับความรู้สึกที่ผิดปกติ การประเมินความผิดปกติของปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (retlex) ได้แก่ bite reflex, gag reflex, swallowreflex, cough reflex รวมถึงการประเมินการกลืนด้วยการให้รับประทานน้ำ (water test) อาจพบความผิดปกติเช่น การไอ เสียงเปลี่ยน ความเร็วในการกลืนลดลง หรือกลืนน้ำไม่ลง"


รู้ได้อย่างไรว่าผู้ป่วยมี “ภาวะกลืนลำบาก” 

แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู /นักกิจกรรมบำบัด และพยาบาลจะทำการประเมินปัญหาเกี่ยวกับการสูญเสียหน้าที่ในการกลืน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อน โดยอาการแสดงของภาวะกลืนลำบากได้แก่ การสำลัก มีการไอ เสียงแหบ เสียงเครือ ระหว่างการกลืนน้ำและอาหาร รู้สึกเหมือนมีอาหารติดที่ลำคอหรือ มีอาหารเหลือค้างในช่องปากหลังกลืน เป็นต้น ส่งผลให้เกิดการเหนื่อย หายใจเร็วขึ้นระหว่างรับประทานอาหาร

เมื่อพบปัญหาภาวะกลืนลำบาก จำเป็นต้องให้การดูแลอย่างใกล้ชิดและได้รับคำแนะนำจากนักกิจกรรมบำบัดเพื่อให้สามารถกลืนได้อย่างปลอดภัย โดยทำตามขั้นตอนดังนี้

  1. ปรับลักษณะของอาหาร และน้ำ ให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของผู้ป่วย โดยอาจให้สารเพิ่มความหนืดใส่ลงในอาหารและของเหลวต่าง ๆ เพื่อช่วยลดโอกาสการสำลัก
  2. ดูแลความสะอาดของปาก และฟัน ก่อน และหลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อขจัดเสมหะหรือ เศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในช่องปาก ลดการสะสมของแบคทีเรียในช่องปาก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดปอดอักเสบได้

  3. ฝึกการออกกำลังกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการกลืน เช่น การบริหารกล้ามเนื้อรอบปาก และลิ้น โดยการเม้มปาก ทำปากจู๋ ฉีกยิ้ม อ้าปาก – ปิดปากสลับกัน ฝึกออกเสียง “อา- อี-อู” เป็นต้น ส่วนการบริหารกล้ามเนื้อลิ้น นักกายภาพบำบัดจะให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมาด้านหน้าให้มากที่สุด ใช้ปลายลิ้นแตะริมฝีปากบน ใช้ลิ้นแตะมุมปากทั้งสองข้างสลับกันซ้าย – ขวา ฝึกออกเสียง “ลา ๆ ๆ ๆ ทา ๆ ๆ ๆ” โดยจะมีการบันทึกวัดผลเพื่อวางแผนพัฒนาการฝึกต่อไป

  4. การปรับท่าทางขณะกลืน ให้เหมาะสมกับความผิดปกติที่ตรวจพบในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การก้มหน้า เอียงคอ หรือหันศีรษะไปด้านหนึ่งขณะกลืนเพื่อให้กลืนได้อย่างปลอดภัย ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก นักกายภาพบำบัดอาจแนะนำเทคนิคการกลืนอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรง หรืออาการที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล เช่น การให้กลืนโดยออกแรงเต็มที่ หรือการไอหลังการกลืนอาหารแต่ละคำ เพื่อช่วยไล่เศษอาหารที่ตกค้างอยู่ เป็นต้น

แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลวัฒนแพทย์ ตรัง พร้อมให้บริการ
สอบถามข้อมูลหรือปรึกษาเรื่องการรักษา โทร.075-837004