อาการที่สามารถสังเกตได้นั้นไม่ได้มีเพียงการปวดท้องเพียงอย่างเดียว โดยอาการจะมีผลกับระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากเกิดการอุดตัน หรืออุดกั้นของก้อนนิ่วภายในบริเวณท่อของถุงน้ำดี หรือตรงทางออกของน้ำดี ส่งผลให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในกระเพาะอาหาร มีอาการเสียดและแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่หากทานอาหารมัน ๆ ในระดับที่รุนแรงผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการปวดอย่างรุนแรงบริเวณไหล่ด้านขวา โดยอาการปวดจะเป็น ๆ หาย ๆ อาจยาวนานถึงหลักสัปดาห์ไปจนถึงเป็นเดือนเลยก็ได้
ดังนั้นหากผู้ป่วยมีอาการปวดท้องมาก ๆ เป็นระยะเวลานานมักจะไม่ได้เกิดจากโรคนิ่วในถุงน้ำดี อาจเสี่ยงเป็นโรคอื่นได้มากกว่า เพราะโรคนี้จะมีอาการปวดท้องเพียงแค่ในระยะแรก ๆ ของโรคเท่านั้นเอง อาการของโรคนี้จะมีความรุนแรงมากที่สุด คือ ผู้ป่วยจะมีไข้ ตาเหลือง คลื่นไส้และอาเจียน รวมไปถึงระบบขับถ่ายที่ทำงานไม่เป็นปกติ เช่น อุจจาระมีสีซีด หรือปัสสาวะมีสีเข้ม เป็นต้น ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ควรรีบเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
ความเสี่ยงของโรคนี้สามารถพบได้ประมาณร้อยละ 15-20 ของคนทั่วไป โดยผู้หญิงจะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชายมากถึง 2-3 เท่า นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วง 40-60 ปี ยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงอายุอื่นอีกด้วย ในกรณีที่ผู้หญิงมีความเสี่ยงยังเกิดขึ้นหลายกรณี เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้หญิงมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ในส่วนของผู้ชายที่มีความเสี่ยงมักเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือจะเป็นคนที่ชอบทานของมันของหวานก็มีความเสี่ยงในการเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูงเช่นกัน
ผู้ป่วยหลายรายอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาจึงทำให้ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา แต่หากมีการแสดงอาการออกมาให้รีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยก่อน โดยปกติแล้วการรักษานั้นจะเป็นการรักษาผ่านการผ่าตัดโดยการผ่าตัดนั้นจะใช้เทคโนโลยีการผ่าแบบผ่านกล้อง MIS ส่งผลให้การผ่าจะมีบาดแผลเล็ก เจ็บน้อย และใช้เวลาในการพักฟื้นร่างกายที่โรงพยาบาลได้รวดเร็วกกว่าการผ่าแบบอื่นมาก
ถึงแม้ว่าโรคนี้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าไม่อันตรายเท่ากับโรคอื่น ซึ่งไม่เป็นความจริงหากปล่อยไว้จนอาการแสดงออกมาจะส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้ค่อนข้างมาก การดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เสมอ