รักษาแผลเบาหวานด้วย HBOT ดีกว่ายังไง

รักษาแผลเบาหวานด้วย HBOT ดีกว่าอย่างไร


ปัญหาแผลเบาหวาน มีหนึ่งปัญหาที่ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ด้วยความที่แผลนั้นมักเป็นแผลเรื้อรัง หายยาก ต้องได้รับการรักษาและดูแลเป็นอย่างมากทั้งจากตัวผู้ป่วยเองและผู้ใกล้ชิด ซึ่งการรักษาแบบดั้งเดิมมักใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งบ่อยครั้งเกิดการลุกลามเป็นหนักขึ้น จนสุดท้ายถึงขั้นต้องขัดออก สร้างความกังวลให้ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันได้มีการรักษาที่สามารถช่วยฟื้นฟูแผลให้ดีขึ้นและสามารถช่วยลดโอกาสที่ผู้ป่วยแผลเบาหวานจะต้องตัดขาได้มากถึง 50% โดยการรักษาที่ว่านี้คือการใช้ออกซิเจนความดันสูง (Hyperbaric oxygen therapy หรือ HBOT)  เป็นการเสริมในการรักษาแผลเบาหวานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น


การรักษาแผลเบาหวานแบบเดิม

การรักษาแผลเบาหวานแบบเดิมประกอบด้วยการทำแผล ใช้ยาปฏิชีวนะ และการดูแลที่บ้าน การทำแผลประกอบด้วยการทำความสะอาดและการปิดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การใช้ยาปฏิชีวนะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ อย่างไรก็ตาม การรักษาแบบเดิมอาจใช้เวลานานและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในกระดูกและการต้องตัดอวัยวะ



ข้อดีของการรักษาด้วย HBOT

  1. เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน: HBOT ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณแผล ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ในปริมาณมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการบวมอักเสบ

  2. ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย: ด้วยการเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด HBOT ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่และเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่เสียหาย ทำให้แผลหายเร็วขึ้น

  3. ควบคุมการติดเชื้อ: HBOT มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ซึ่งช่วยป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรีย

  4. ป้องกันภาวะแทรกซ้อน: การรักษาด้วย HBOT ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระดูกและการต้องตัดอวัยวะ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักพบในผู้ป่วยแผลเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม


ประสิทธิภาพและสถิติในการรักษาแผลเบาหวานด้วย HBOT

การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วย HBOT มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาแผลเบาหวาน โดยมีอัตราการหายของแผลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น:

  1. การวิจัยของ Undersea and Hyperbaric Medical Society พบว่าผู้ป่วยแผลเบาหวานที่ได้รับการรักษาด้วย HBOT มีอัตราการหายของแผลสูงขึ้นถึง 85% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้

  2. การศึกษาในวารสาร Diabetes Care พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย HBOT มีโอกาสลดการตัดอวัยวะลงถึง 50% 

  3. วารสารแพทย์นาวี ได้ทำ การวิจัยเชิงเปรียบเทียบแบบย้อนหลัง พบว่า ผู้ป่วยแผลเท้าเบาหวานที่ได้รับการบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูงถูกตัดเท้าและขา ร้อยละ 49.12 และผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาแบบปกติถูกตัดเท้าและขา ร้อยละ 70.18 เมื่อเปรียบเทียบการถูกตัดเท้าและขา พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับการบำบัด ด้วยออกซิเจนแรงดันสูงมีโอกาสถูกตัดเท้าและขาน้อยกว่ากลุ่มที่ได้รับการรักษาแบบปกติ ร้อยละ 30 


ขั้นตอนการรักษาด้วย HBOT

ขั้นตอนการรักษาด้วย HBOT เริ่มจากการที่แพทย์จะตรวจร่างกายผู้ป่วยเพื่อประเมินว่าสามารถทำการรักษาได้หรือไม่ ผู้ป่วยต้องไม่มีอาการไข้ เป็นหวัด หรือโรคติดเชื้อ จากนั้นผู้ป่วยจะถูกพาเข้าสู่ห้องปรับบรรยากาศ (Hyperbaric Chamber) ซึ่งเป็นห้องที่มีความกดบรรยากาศสูง ผู้ป่วยจะนั่งหรือนอนในห้องนี้เป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อครั้ง โดยขึ้นอยู่กับลักษณะในการรักษา โดยระหว่างการรักษาผู้ป่วยสามารถนอนพักหรือดูทีวีได้ตามปกติ หลังจากการรักษาครบ 2 ชั่วโมง แพทย์จะปรับลดความดันอากาศในห้องปรับบรรยากาศให้ลดลงมาเท่ากับความกดบรรยากาศปกติ แล้วผู้ป่วยสามารถออกจากห้องปรับบรรยากาศและกลับบ้านได้

การรักษาด้วย HBOT จะทำซ้ำประมาณ 5-7 ครั้งต่อสัปดาห์ และแพทย์จะประเมินแผลเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม การรักษานี้ไม่ได้ยุ่งยากสามารถทำควบคู่ไปกับการรักษาแบบปกติได้ โดยเป็นการเสริมให้การรักษาแผลเบาหวานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการรักษาแผลเบาหวานด้วย HBOT มีข้อดีหลายประการ ทั้งการเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและออกซิเจน การซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย การควบคุมการติดเชื้อ และการป้องกันภาวะแทรกซ้อน ในขณะที่การรักษาแบบเดิมอาจใช้เวลานานและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่า HBOT จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการรักษาแผลเบาหวานที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ