สังเกตให้ดี อาการเสี่ยงริดสีดวง
โรคริดสีดวงทวาร เกิดจากอะไร?
โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) เกิดจากหลอดเลือดดำบริเวณลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีการอักเสบ บวม และโป่งพอง ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่มักพบในผู้ที่มีอาการเหล่านี้ ได้แก่
- ผู้ที่มีภาวะท้องผูกเรื้อรัง โรคตับแข็ง
- ผู้ที่ท้องเสียบ่อย
- ผู้สูงอายุ
- บุคคลในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคริดสีดวงทวาร
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
- ผู้ที่มีอุปนิสัยเบ่งอุจจาระ หรือชอบนั่งขับถ่ายเป็นระยะเวลานาน
อาการอย่างนี้..ใช่ ใช่มั้ย
ผู้ที่มีอาการคล้ายโรคริดสีดวงทวาร ได้แก่
- มีอาการคัน ระคายเคือง ปวด แดง หรือบวมบริเวณปากทวารหนัก
- มีเลือดสดปนออกมากับอุจจาระ หรืออาจสังเกตเห็นเลือดบนกระดาษชำระเมื่อใช้ซับทำความสะอาดทวารหนัก หรือเห็นเลือดในโถชักโครก
- มีก้อน หรือติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนักขณะขับถ่าย
- ในกรณีที่เป็นริดดวงทวารภายนอก จะคลำเจอก้อนเนื้อที่ทวารหนัก ส่งผลให้นั่ง หรือเดินไม่สะดวก
- มีอาการกลั้นอุจจาระไม่ได้
- รู้สึกตุงบริเวณทวารหนัก
ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และเข้ารับการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสม
หากเป็นอาการของริดสีดวงทวาร ในระยะแรกจะสามารถรักษาได้ด้วยยาทา อย่างไรก็ตาม หากปล่อยทิ้งไว้จนอาการรุนแรงอาจต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้
สนใจตรวจริดสีดวงทวาร เปรียบเทียบราคาและแพ็กเกจการตรวจริดสีดวงทวาร จากโรงพยาบาลใกล้บ้านคุณได้เลย
1. โรคริดสีดวงทวารชนิดภายใน
ตัวหลอดเลือดที่โป่งพองจะอยู่บริเวณเหนือทวารหนักขึ้นไป ทำให้ไม่สามารถมองเห็น หรือคลำหาเจอได้ และไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดหากยังไม่มีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
ความรุนแรงของโรคริดสีดวงทวารชนิดภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 การบวมมีขนาดน้อย เกิดขึ้นบนเยื่อบุภายในของทวารหนัก มักมองไม่เห็นจากภายนอก ขณะขับถ่ายจะมีเลือดสีแดงสดออกมา
- ระยะที่ 2 การบวมมีขนาดใหญ่ขึ้น และอาจดันตัวออกมานอกทวารเวลาที่ถ่ายหนัก แต่จะหายกลับไปข้างในเมื่อเสร็จสิ้นการถ่ายหนัก
- ระยะที่ 3 มีก้อนเนื้ออ่อนๆ มากกว่า 1 ก้อนห้อยลงมาจากทวารหนัก และสามารถดันกลับเข้าข้างในได้
- ระยะที่ 4 ก้อนขนาดใหญ่ห้อยลงมาจากทวารหนัก ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้
โรคริดสีดวงทวารชนิดภายใน ระยะที่ 4 อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น
- มีเลือดออกทางทวารหนัก
- มีน้ำเหลือง เมือก หรืออุจจาระหลุดออกมา ทำให้เกิดความสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา
- มีอาการคันที่ขอบปากทวารหนัก
- มีการอักเสบ เน่า จนนำไปสู่การติดเชื้อได้ง่าย
- มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง
2. โรคริดสีดวงทวารชนิดภายนอก
เกิดบริเวณปากรอยย่นของทวารหนัก สามารถเห็นและคลำเจอติ่งเนื้อที่ปกคลุมหลอดเลือดที่โป่งพองได้ และอาจทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะเวลาขับถ่ายอุจจาระ โรคริดสีดวงทวารชนิดนี้ไม่มีการแบ่งระดับความรุนแรง
การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวาร เป็นอย่างไร?
วิธีการวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารอาจแบ่งตามชนิดของริดสีดวง ดังนี้
- โรคริดสีดวงทวารชนิดภายนอก จะมีติ่งเนื้อยื่นออกมาให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว จึงสามารถตรวจได้ด้วยตาเปล่า ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์
- โรคริดสีดวงชนิดภายใน แพทย์จะตรวจทวารหนักด้วยการสอดนิ้วเพื่อคลำหาความผิดปกติภายในทวารหนัก หรืออาจใช้เครื่องมือส่องกล้องพิเศษ เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคให้แม่นยำมากขึ้น
- ในผู้ที่อาการยังไม่ชัดเจน มีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ หรือผู้สูงอายุ จะเอกซเรย์ (X-Rays) เพื่อตรวจลำไส้ใหญ่ หรือใช้วิธีการสวนแป้งแบเรียม (Barium enema) เพื่อหาความผิดปกติของลำไส้ใหญ่ และวินิจฉัยโรคให้แน่ใจว่า ไม่ได้เป็นโรคมะเร็งลำไส้ หรือโรคอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้ถ่ายเป็นเลือด หรือเกิดความผิดปกติต่อระบบทางเดินอาหาร
แนวทางการรักษาโรคริดสีดวงทวาร
วิธีการรักษาโรคริดสีดวงทวารจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคริดสีดวงทวาร ดังนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิตเพื่อให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น เช่น เน้นรับประทานอาหารที่มีใยอาหาร ลดอาหารไขมันสูง ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระ
- ใช้ยารักษาโรคริดสีดวงทวาร ประกอบด้วย ยาทาภายนอก ยาเหน็บ และยาเม็ด ช่วยบรรเทาอาการ ทำให้การขับถ่ายคล่องขึ้น โดยหากใช้ครบ 1 สัปดาห์อาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์
- รักษาโดยไม่ใช้การผ่าตัด ได้แก่ การใช้แบนดิง (Banding) การฉีดสารระคายเคืองเส้นเลือด และการรักษาด้วยกระแสไฟฟ้า
- การผ่าตัดเอาหัวริดสีดวงทวารออก แพทย์จะใช้รักษาในผู้ที่มีอาการรุนแรงมาก เช่น ผู้ที่มีอาการโรคริดสีดวงภายในระยะที่ 3 และ 4 หรือมีลิ่มเลือด หรือมีการขาดเลือดของริดสีดวง แบ่งเป็น การผ่าตัดริดสีดวงทวารหนัก การเย็บผูกริดสีดวงทวาร และการใช้เครื่องมือตัดเย็บเยื่อบุลำไส้
โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แม้ว่าจะยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดโรคแน่ชัด แต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้นก็ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคได้มาก