องค์การอนามัยโลกบอกไว้ว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีประโยชน์มากสำหรับทารกแรกเกิดจนถึง 2 ขวบ โดยเฉพาะการได้ที่ลูกน้อยได้รับนมแม่ตั้งแต่ 1-3 วันแรกหลังคลอด เพราะนมในช่วงแรกนั้น คือน้ำนมเหลืองที่มีแลคโตเฟอร์ริน
แลคโตเฟอร์ริน คือโปรตีนในนมแม่ที่จะพบได้มากที่สุดในน้ำนมเหลือง หรือน้ำนมระยะแรกที่จะไหลออกมาใน 1-3 วันแรกหลังคลอด ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อรา จึงช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย
น้ำนมแม่ ที่ร่างกายแม่ผลิตได้โดยตามธรรมชาติ แบ่งเป็น 3 ระยะด้วยกัน โดยไม่ว่าจะเป็นระยะใด ก็ตามล้วนดีต่อสุขภาพลูกทั้งสิ้น ได้แก่
น้ำนมจะมีสีเหลือง มีแคโรทีนสูงกว่านมระยะหลังมากประกอบไปด้วยโปรตีนต่างๆ ที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันมีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของสมองและการมองเห็นของลูก
เมื่อผ่านช่วง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์แรก น้ำนมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ซึ่งจะมีสารอาหารเพิ่มขึ้นทั้งไขมันและน้ำตาลที่มีปริมาณเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
เมื่อผ่านช่วง 2 สัปดาห์แรกแล้ว น้ำนมแม่จะมีปริมาณที่มากขึ้น และมีสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูก ได้แก่
นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินลำไส้ เส้นเลือด ระบบประสาท และระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต
ประโยชน์ของนมแม่นั้นมากมาย เปรียบได้กับวัคซีนหยดแรก ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ลดความเสี่ยงการติดเชื้อ ช่วยให้ลูกฟื้นตัวเร็วหากเจ็บป่วย มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนมแม่กับการเพิ่มของไอคิวลูกน้อย อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกผูกพันและปลอดภัยให้แก่ลูกน้อย
สำหรับตัวคุณแม่เอง การให้ลูกกินนมแม่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และเบาหวาน อีกทั้งช่วยให้ประหยัดค่านมผง ค่ารักษาพยาบาลของลูก (เพราะลูกเจ็บป่วยน้อยลง เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น)
โดยองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟ มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดังนี้
โดยระยะเวลาของการกินนมแม่ยาวนานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณแม่และลูก ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กที่จะกินนมแม่เป็นเวลานานๆ แม้ว่าเราจะเคยชินกับทารกที่กินนมแม่ในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน เด็กโตอาจจะกินนมแม่ไม่บ่อยมากเหมือนเดิม และการหย่านมจากเต้าอาจจะใช้ระยะเวลายาวนาน เพราะเด็กผูกพันกับแม่ และรู้สึกมั่นคง อบอุ่นใจเมื่อได้อยู่ในอ้อมกอดแม่นั่นเอง
ในช่วงเวลา 3 เดือนที่คุณแม่ลาคลอดเพื่ออยู่กับลูกและเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ลูกได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ แต่หลังจากนั้นคุณแม่ต้องกลับไปทำงาน หากต้องการให้ลูกกินนมแม่ต่อ คุณแม่ต้องมีการเตรียมตัวกันนะคะ
คุณแม่ควรเตรียมเก็บนมเป็นระยะตั้งแต่ช่วงเดือนที่ 1-2 โดยบีบหรือปั๊มนม เก็บ ตุนนมเป็นสต๊อคไว้ให้ลูก เริ่มได้ตั้งแต่เมื่อน้ำนมมาเต็มที่ คือช่วง 1-2 เดือนหลังคลอด
บีบหรือปั๊มให้พอกิน ประมาณ 3-4 ออนซ์ต่อครั้ง
ระยะ 2 สัปดาห์ก่อนกลับไปทำงาน นำน้ำนมที่แม่เก็บไว้มาฝึกให้ลูกกิน โดยใช้ช้อนหรือแก้วใบเล็กๆ เอียงป้อน หรือจะใช้ขวดนมก็ได้ ถ้าจะใช้ขวดนมป้อนลูก คุณแม่ควรฝึกหลังลูกอายุ1 เดือนไปแล้ว เพื่อป้องกันลูกสับสนกับเต้านมคุณแม่ เพราะถ้าฝึกให้เร็วกว่านี้ ลูกจะมีโอกาสติดหัวนมยาง จนไม่ยอมกินนมจากอกแม่
คุณแม่ควรให้ลูกดูดนมจากเต้าช่วงเช้าหลังตื่นนอนและก่อนออกไปทำงาน จากนั้นให้ดูดจากเต้าเมื่อแม่กลับถึงบ้านตอนเย็น และอีกครั้งตอนกลางคืน ทั้งนี้อาจปั๊มนมอีกข้างพร้อมกันไปด้วยเวลาลูกดูด หรือหลังจากดูดอิ่มแล้วเอาเก็บเข้าตู้เย็นไว้
กำชับคนดูลูกว่า ระยะ 2-3 ชั่วโมงก่อนแม่จะกลับมาถึงบ้าน อย่าให้ลูกกินนมที่ปั๊มเก็บไว้ ให้รอกินจากเต้าแม่ เพื่อให้เต้านมยังคงผลิตน้ำนมได้ดี
ช่วงเวลากลางวัน เมื่อแม่ต้องไปทำงาน อย่าลืมกำชับให้คนดูแลให้ป้อนนมแม่ที่บีบไว้
ส่วนแม่ขณะที่ทำงาน เริ่มปั๊มหรือบีบน้ำนมทุกครั้งที่รู้สึกว่าเต้านมตึงคัด หรือในช่วงเวลาที่เหมาะที่สุด เช่น ก่อนเริ่มงาน พักเที่ยง หรือบ่าย เลือกตามสะดวก และไม่ควรเว้นช่วงนานเกินไป เพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมอย่างต่อเนื่อง
ควรเลือกสถานที่ปั๊มนมที่ปลอดภัย มิดชิด และเป็นมุมสงบ