ความดันโลหิตสูง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง

ความดันโลหิตสูง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง



รู้จักโรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่ความดันโลหิตในหลอดเลือดสูงเกินระดับปกติ ซึ่งสามารถวัดได้จากสองค่าหลักคือ ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (Systolic) และความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic) หากค่าทั้งสองนี้สูงกว่าระดับปกติ จะถือว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มแรก แต่มีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อร่างกายในระยะยาว


ระดับความดันโลหิตแค่ไหนถึงเรียกว่าสูง

การแบ่งระดับความดันโลหิตสามารถทำได้ดังนี้:


  1. ความดันโลหิตปกติ (Normal Blood Pressure):
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (Systolic) น้อยกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic) น้อยกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)

  1. ความดันโลหิตเริ่มสูง (Elevated Blood Pressure):
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (Systolic) อยู่ระหว่าง 120-129 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic) น้อยกว่า 80 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)

  1. ความดันโลหิตสูงระยะที่ 1 (Hypertension Stage 1):
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (Systolic) อยู่ระหว่าง 130-139 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic) อยู่ระหว่าง 80-89 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)

  1. ความดันโลหิตสูงระยะที่ 2 (Hypertension Stage 2):
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (Systolic) 140 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ขึ้นไป
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic) 90 มิลลิเมตรปรอท (mmHg) ขึ้นไป

  1. ความดันโลหิตสูงขั้นรุนแรง (Hypertensive Crisis):
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจบีบตัว (Systolic) มากกว่า 180 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
    • ความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว (Diastolic) มากกว่า 120 มิลลิเมตรปรอท (mmHg)
    • ต้องได้รับการรักษาในทันที เพราะอาจนำไปสู่ภาวะฉุกเฉินที่มีผลต่อชีวิต

การวัดความดันโลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ควรวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความดันโลหิตสูง


ความดันโลหิตสูง เสี่ยงโรคอะไรบ้าง

  1. โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Diseases): ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease) และหัวใจวาย (Heart Failure)

  2. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): ความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง อาจเกิดจากการตีบตันหรือการแตกของหลอดเลือดในสมอง

  3. โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease): ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดในไตเสื่อมสภาพ ส่งผลให้การทำงานของไตลดลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคไตเรื้อรัง

  4. โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลาย (Peripheral Artery Disease): ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดในร่างกายส่วนปลาย เช่น ขาและเท้า เกิดการตีบตัน ซึ่งสามารถนำไปสู่การตัดขาหรือเท้าในกรณีที่รุนแรง

  5. ตาบอดจากโรคจอตาเสื่อม (Retinopathy): ความดันโลหิตสูงส่งผลกระทบต่อหลอดเลือดในดวงตา ทำให้เกิดโรคจอตาเสื่อม ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น

การดูแลรักษาโรคความดันโลหิตสูง


  1. การปรับพฤติกรรมการกิน: ลดการบริโภคเกลือและอาหารที่มีโซเดียมสูง เน้นการบริโภคผักผลไม้และอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น กล้วย อโวคาโด และผักใบเขียว

  2. การออกกำลังกาย: ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือว่ายน้ำ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

  3. การควบคุมน้ำหนัก: รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะน้ำหนักที่เกินสามารถเพิ่มความดันโลหิตได้

  4. การลดความเครียด: ใช้วิธีการผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ การฝึกโยคะ หรือการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อลดความเครียด

  5. การใช้ยา: ในบางกรณีแพทย์อาจจำเป็นต้องสั่งยาลดความดันโลหิต ซึ่งผู้ป่วยควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

ข้อมูลข้างต้นอ้างอิงจาก:

 


 

"ตรวจก่อนลดเสี่ยง เลี่ยงได้"


แพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคหัวใจ รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก


ตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดสมอง รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก