โรคไหนบ้างที่พบได้จากการตรวจ Ultrasound


ตรวจอัลตร้าชาวด์เช็คความผิดปกติ

การอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound หรือ Ultrasound scanning) คือการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการใช้คลื่นเสียงกำลังสูงสะท้อนให้เกิดภาพ ซึ่งสามารถตรวจดูอวัยวะต่างๆ ทำให้เห็นได้ถึงความผิดปกติ บางชนิดซึ่งสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคของแพทย์ได้ โดยทั่วไปการตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด เพราะเป็นเพียงการใช้หัวตรวจเคลื่อนไปบนผิวหน้าท้องภายนอก ซึ่งไม่ต้องมีการใช้ยาชาหรือฉีดยา อีกทั้งคลื่นเสียงที่ใช้ก็มีความปลอดภัยและไม่ก่อให้เกิดอันตราย โดยการตรวจสุขภาพส่วนใหญ่จะมีการอัลตร้าซาวด์อยู่ 2 ส่วน คือ

  • 1.การอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน (Ultrasound Upper Abdomen หรือ Upper Adomen Ultrasonography)
  • 2.การอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง (Ultrasound Lower Abdomen หรือ Lower Adomen Ultrasonography)

การตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนบน

เป็นการตรวจดูอวัยวะช่องท้องส่วนบนเหนือระดับสะดือขึ้นไป ได้แก่ ตับ, ม้าม, ถุงน้ำดี, ท่อน้ำดีส่วนต้น, ไต และหลอดเลือดแดงใหญ่, ตับอ่อน (บางรายเห็นได้บางส่วน) ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น มีก้อนที่ผิดปกติ นิ่วที่ไต นิ่วที่ถุงน้ำดี เป็นต้น ผู้ที่จะตรวจส่วนใหญ่คือผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง หรือมีอายุตั้งแต่ 30 ปี ขึ้นไป ตรวจได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง


การตรวจอัลตร้าซาวช่องท้องส่วนล่าง

เป็นการตรวจดูอวัยวะของช่องท้องส่วนล่างต่ำกว่าระดับสะดือลงไป ได้แก่ มดลูก, รังไข่ (หญิง), ขนาดของต่อมลูกหมาก (ชาย), กระเพาะปัสสาวะ, ไส้ติ่ง และบริเวณช่องท้องส่วนล่าง อื่นๆ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น ถุงน้ำในรังไข่, ก้อนเนื้อในมดลูก เป็นต้น

การตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องส่วนล่าง มักจะตรวจกันมากในกลุ่มผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป หรือกลุ่มที่ปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำ หรือประจำเดือนมามากมาน้อย ผิดปกติ ตรวจโดยใช้หัวตรวจตรวจบริเวณหน้าท้อง การตรวจด้วยวิธีนี้จะต้องตรวจในขณะที่ปวดปัสสาวะมากพอสมควร (ผู้เข้ารับการตรวจจึงควรดื่มน้ำเปล่าและต้องกลั้นปัสสาวะ) ทั้งนี้เนื่องจากลมในลำไส้จะบดบังมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงหรือต่อมลูกหมากในผู้ชาย ทำให้มองเห็นภาพอวัยวะได้ไม่ชัดเจน แต่เมื่อมีน้ำในกระเพาะปัสสาวะมากพอทำ กระเพาะปัสสาวะจะช่วยให้เห็นมดลูก รังไข่ ต่อมลูกหมาก หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้


ทำไมต้องตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง?

  • 1.เพื่อตรวจสุขภาพโดยทั่วไปต่ออวัยวะภายในช่องท้องตามช่วงอายุ หรือตามโปรแกรมในรายการตรวจสุขภาพเพื่อหาความผิดปกติใด ๆ ในขณะที่ยังไม่มีอาการ เช่น นิ่วในไต นิ่วในถุงน้ำดี ก้อนเนื้อในตับ
  • 2.ตรวจกรณีที่สงสัยว่าจะมีก้อนในช่องท้อง, ช่วยแยกว่าก้อนนั้นน่าจะมาจากอวัยวะใดและลักษณะของก้อนนั้นว่ามีส่วนประกอบเป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำ
  • 3.ตรวจเมื่อมีอาการปวด ตึง หรือแน่นท้องประจำหรือเรื้อรัง หรือมีการเพิ่มขนาดของอวัยวะในช่องท้อง หรือผลเลือดตับผิดปกติ
  • 4.เพื่อนำทางในการตัดเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกในร่างกายไปตรวจ เพื่อเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น
  • 5.ใช้ตรวจซ้ำเพื่อติดตามผล เนื่องจากความผิดปกติบางอย่างที่ได้รับการรักษาไปแล้ว หรือเพื่อเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของความผิดปกตินั้น ๆ

การเตรียมตัวอย่างไรถ้าต้องตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง

  • 1.ในวันที่ทำการตรวจที่ต้องการตรวจ การตรวจช่องท้องส่วนบนควรงดอาหารที่มีไขมันและเครื่องดื่มอย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป
  • 2.การตรวจช่องท้องส่วนล่างควรดื่มน้ำเปล่า (อย่างน้อย 500ml) และกลั้นปัสสาวะไว้

ขั้นตอนการตรวจเป็นอย่างไร

การตรวจอัลตราซาวด์จะให้การตรวจโดยแพทย์ ผู้ป่วยจะนอนบนเตียง แพทย์จะทาผิวหนังในบริเวณที่ตรวจด้วยเจล (Gel) เย็นๆเหมือนเจลทั่วไป เพื่อช่วยการส่งผ่านคลื่นเสียงจากหัวตรวจ ผ่านผิวหนังเข้าไปดูอวัยวะต่างๆ ในขณะตรวจแพทย์จะกดหัวเครื่องตรวจบนผิวหนัง/ร่างกายส่วนที่จะตรวจเบาๆ เคลื่อนไปจนทั่วบริเวณที่ตรวจ โดยแพทย์และผู้ป่วยจะมองเห็นภาพอวัยวะจากการตรวจบนจอเครื่องตรวจไปพร้อม ๆ กัน การตรวจจะใช้เวลาประมาณ 10-45 นาที ขึ้นกับตำแหน่งอวัยวะที่ต้องการตรวจและความผิดปกติ

หลังการตรวจอัลตร้าซาวด์มักไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ และสามารถกลับบ้านได้ทันที ผู้ป่วยจะสามารถขับรถ ดื่มน้ำ รับประทานอาหาร และทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติ ผลการตรวจอัลตราซาวด์ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่นานหลังจากการตรวจเสร็จสิ้น ส่วนมากจะมีการวิเคราะห์ภาพที่ได้จากการอัลตราซาวด์และส่งรายงานไปยังแพทย์ที่สั่งตรวจ โดยแพทย์อาจอธิบายหรือพูดคุยเกี่ยวกับผลลัพธ์การตรวจได้ภายในวันนั้นเลยว่าปกติหรือมีความผิดปกติบริเวณอวัยวะส่วนไหนอย่างไร