ในช่วงเวลาอกหัก เศร้า เหงา หรือโดนทิ้ง หลายคนอาจหันหน้าเข้าหา "แก้วเหล้า" เพื่อคลายความเศร้า แต่รู้หรือไม่ว่า แอลกอฮอล์แม้จะเยียวยาหัวใจชั่วคราว แต่กลับทำร้ายตับอย่างถาวร การดื่มหนักต่อเนื่องอาจพาให้ “ตับพัง” โดยไม่รู้ตัว
ในบทความนี้ เราจะพาคุณเข้าใจว่าแอลกอฮอล์ทำร้ายตับอย่างไร ปริมาณที่เป็นอันตรายคือเท่าไร ดื่มอย่างไรให้ปลอดภัย และจะดูแลตัวเองอย่างไรหากเลี่ยงการดื่มไม่ได้
ตับ คืออวัยวะหลักที่ทำหน้าที่กำจัดสารพิษในร่างกาย รวมถึงแอลกอฮอล์ที่เราดื่มเข้าไป เมื่อเราดื่มแอลกอฮอล์ เอนไซม์ในตับจะเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้เป็นอะเซทัลดีไฮด์ ซึ่งเป็นสารพิษที่ส่งผลเสียต่อเซลล์ตับโดยตรง และหากดื่มบ่อยหรือในปริมาณมากเกินไป ตับจะอักเสบ เกิดไขมันพอกตับ และสุดท้ายอาจพัฒนาเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับ
อาการของผู้ที่มีปัญหาตับจากแอลกอฮอล์อาจไม่แสดงออกในระยะแรก แต่เมื่อมีอาการแล้ว มักเป็นระยะที่รุนแรงและรักษาได้ยาก เช่น
เบียร์
ปริมาณมาตรฐาน: 330 มิลลิลิตร (ประมาณ 1 กระป๋อง)
ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์: ประมาณ 13 กรัม
ไวน์
ปริมาณมาตรฐาน: 150 มิลลิลิตร
ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์: ประมาณ 13 กรัม
วิสกี้ หรือ เหล้าขาว
ปริมาณมาตรฐาน: 40 มิลลิลิตร
ปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์: ประมาณ 13 กรัม
คำแนะนำ: หากคุณดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2–3 หน่วยต่อวัน และดื่มต่อเนื่องหลายวันในสัปดาห์ โดยไม่มีวันพักตับเลย จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงเวลาเศร้า หลายคนอาจคิดว่า “ดื่มให้ลืมเธอ” แต่หากเราดื่มทุกวัน หรือดื่มจนเมาหนัก นั่นไม่ใช่แค่ความเศร้า แต่เป็นการเปิดประตูให้ ตับล้มเหลวช้าๆ แม้จะยังหนุ่มสาวหรือดูแข็งแรงก็ตาม
แม้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเราควร เตรียมตัวและเลือกวิธีดื่มที่ลดผลร้ายต่อร่างกาย ดังนี้
การดื่มแอลกอฮอล์ขณะท้องว่างทำให้ดูดซึมเร็วขึ้น ส่งผลให้เมาเร็วและตับทำงานหนักขึ้น
เช่น ไวน์ หรือเบียร์ ที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 5% หลีกเลี่ยงเหล้าที่เข้มข้น
ช่วยเจือจางแอลกอฮอล์และป้องกันภาวะขาดน้ำ
ไม่ควรเกิน 2 แก้วมาตรฐานต่อวัน และควรมีวันงดแอลกอฮอล์อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์
หลังผ่านค่ำคืนที่หนักหน่วง ควรฟื้นฟูตับและร่างกายด้วยวิธีต่อไปนี้
หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หรือมีประวัติดื่มหนักในช่วงหนึ่งของชีวิต แนะนำให้ ตรวจสุขภาพตับอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อประเมินความเสี่ยงและติดตามสุขภาพตับ
หากมีอาการผิดปกติดังนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที:
อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของ ตับอักเสบหรือตับแข็ง ซึ่งควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว
การลดหรือเลิกดื่มไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่สุดที่เราจะให้กับ “ตับ” ของเราได้ เพราะ ไม่มีอวัยวะใดในร่างกายที่สามารถแทนที่หน้าที่ของตับได้อย่างสมบูรณ์ การฟื้นฟูตับต้องใช้เวลา และหากรอจนสายเกินไป อาจไม่มีโอกาสได้แก้ตัว
"ใจเราพังเพราะเค้าไปแล้ว อย่าให้ตับพังเพราะเค้าอีกนะ" ดูแลให้ ตับ ได้ไปต่อนะ