โรคไข้เลือดออก รู้จักอาการและการรักษา
ไข้เลือดออก (Dengue fever) รู้จักอาการและการรักษา
ยุงลายวายร้ายไข้เลือดออก
โรคไข้เลือดออก (Dengue fever) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยที่ผู้เป็นไข้เลือดออกแรก ๆ อาจไม่มีการแสดงอาการใด ๆ จนกระทั้งเริ่มมีไข้สูง มากปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน มีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ไข้เลือดออกรุนแรงอาจทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิต ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
อาการของโรคไข้เลือดออก ต้องระวัง
ในผู้ที่เป็นโรคไข้เลือดออกครั้งแรก 90% มักไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเริ่มแรกที่ไม่รุนแรงคล้ายและเหมือนไข้หวัดธรรมดา โดยจะเริ่มมีอาการใน 4-10 วัน ซึ่งเป็นระยะที่พ้นระยะฟักตัวของไวรัสไปแล้ว และสิ่งที่น่ากลัวในโรคไข้เลือดออกนี้คือ ถ้าหากเราเป็นโรคไข้เลือดออกเป็นครั้งที่ 2 และเป็นการติดเชื้อไวรัสเดงกีที่ต่างสายพันธุ์ที่เป็นในครั้งแรก อาการของโรคไข้เลือดออกในครั้งที่ 2 อาจพัฒนาไปสู่การเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรงได้เลย โดยอาการไข้เลือดออกแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะไข้สูง (Febrile phase)
เป็นระยะที่ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกีมีไข้สูงลอยแบบเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกัน 2-7 วัน โดยมีอาการคล้ายไข้หวัดแต่ไม่มีอาการไอและไม่มีน้ำมูก และมักไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ ระยะไข้สูงมีอาการดังต่อไปนี้
- 1.ปวดศีรษะ หน้าแดง
- 2.ปวดเบ้าตา ปวดรอบกระบอกตา
- 3.คลื่นไส้ อาเจียน
- 4.ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- 5.เบื่ออาหาร
- 6.ปวดข้อ หรือปวดกระดูก
- 7.มีจ้ำเลือด หรือผื่นแดงขึ้นที่บริเวณผิวหนังร่างกาย
- 8.อาจมีอาการปวดท้อง (บริเวณชายโครงขวา) กดเจ็บบริเวณลิ้นปี่
ระยะวิกฤต (Critical phase)
เป็นระยะที่ 2 ของโรคไข้เลือดออกหรือประมาณ 3-7 วันหลังระยะไข้สูง ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าสู่ระยะนี้ ระยะวิกฤตเป็นระยะที่ต้องเฝ้าระวังมากที่สุด เนื่องจากอาจเกิดภาวะช็อกจากไข้สูง หรือช็อกจากอาการเลือดออกที่อวัยวะภายในที่เกิดจากสารน้ำในหลอดเลือดรั่วไหลออกนอกหลอดเลือด เช่น น้ำเหลืองรั่วไหลไปยังช่องปอด ตับ หรือช่องท้อง ทำให้ความดันโลหิตต่ำ ชัก หมดสติ และหัวใจหยุดเต้นที่นำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด ระยะวิกฤตมีอาการดังต่อไปนี้
- 1.ปวดท้องอย่างรุนแรง
- 2.คลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง เบื่ออาหาร
- 3.ภาวะเลือดออกผิดปกติ
- 4.เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล
- 5.ปัสสาวะหรืออุจจาระปนเลือด หรืออาเจียนเป็นเลือด
- 6.มีจ้ำเลือด หรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนัง
- 7.หายใจลำบาก หายใจถี่เร็ว
- 8.อาการกระสับกระส่าย กระวนกระวาย
- 9.เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย มีอาการซึม
- 10.มือเท้าเย็น ตัวเย็น
- 11.มีเหงื่อออกตามตัว
- 12.ปัสสาวะน้อย
- 13.ชีพจรเบาเร็ว
- 14.ประจำเดือนมามาก หรือมานานผิดปกติ (ในเพศหญิง)
- 15.ภาวะช็อกจากอาการขาดน้ำหรือเสียเลือด ที่มักเกิดขึ้นใน 3-8 วันหลังจากที่มีไข้สูงลอย
- 16.ไข้ลดลดลงอย่างรวดเร็ว
- 18.เลือดออกในทางเดินอาหาร
- 19.ความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ วัดชีพจรไม่ได้ หรือความดันโลหิตลดต่ำในผู้ที่มีอาการรุนแรง
- 20.ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือภาวะช็อก
- 21.อาจเสียชีวิต
ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
เป็นระยะสุดท้ายของการเป็นไข้เลือดออก ผู้ที่ผ่านพ้นระยะไข้สูงที่ไม่ได้เข้าสู่ระยะวิกฤต หรือผู้ที่ผ่านพ้นระยะวิกฤตมาแล้ว 1 - 2 วันจะเข้าสู่ระยะฟื้นตัว เป็นช่วงที่ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัว อาการต่าง ๆ ของโรคไข้เลือดออกค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ เส้นเลือดกลับมาทำงานตามปกติ โดยหากสังเกตเห็นผื่นแดงสาก ๆ เป็นวงสีขาวขึ้นตามร่างกายแสดงว่ากำลังจะหายจากโรค เป็นระยะที่มีความปลอดภัย ระยะฟื้นตัวมีสัญญาณดังต่อไปนี้
- 1.อาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ
- 2.ไข้ลดลง อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ
- 3.ชีพจรเต้นแรงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น
- 4.ปัสสาวะออกมากขึ้น
- 5.ภาวะตับโตลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์
- 6.อยากรับประทานอาหารมากขึ้น
- 7.มีผื่นสีแดงเล็ก ๆ สาก ๆ เป็นวงสีขาวขึ้นตามร่างกาย
ไข้เลือดออก เป็นซ้ำได้หรือไม่?
ตลอดชีวิต มนุษย์สามารถติดเชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ซ้ำได้หลายครั้ง โดยหากเคยติดเชื้อสายพันธ์ใดสายพันธ์หนึ่งแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิตแต่จะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเดงกีในอีก 3 สายพันธุ์ทีเหลือหรือมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว โดยอาการของโรคไข้เลือดออกจะทวีความรุนแรงขึ้นในการเป็นไข้เลือดออกครั้งที่ 2, 3 หรือ 4
การป้องกัน ไข้เลือดออกมีวิธีการอย่างไร?
- 1.ป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด เช่น การทายากันยุง สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และสวมถุงเท้า หรือการใส่เสื้อผ้าที่มีการเคลือบสารกันยุง
- 2.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารป้องกันยุง (Mosquito repellents) ที่มีส่วนผสมของสาร DEET เพื่อป้องกันยุง
- 3.กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะบริเวณน้ำนิ่งและน้ำขัง ทั้งในและรอบบริเวณบ้าน ใช้ฝาปิดครอบภาชนะหรือถังขยะ
- 4.ปิดหน้าต่างไม่ให้ยุงเข้า ติดมุ้งลวดที่ประตู หรือนอนในมุ้งลวดเพื่อกันยุง
- 5.การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ชนิดใหม่ (New 4 serotype dengue fever vaccine) ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันไวรัสเดงกีรุ่นล่าสุดที่ถูกพัฒนาให้สามารถป้องกันได้ครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยสามารถเข้ารับการฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4-60 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายเป็นปกติ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานอายุตั้งแต่ 4 ปี ขึ้นไป สามารถพาบุตรหลานและทุกคนในครอบครัวเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ที่โรงพยาบาลทุกแห่งที่มีวัคซีนไว้คอยบริการ
วัคซีนไข้เลือดออก
ในปัจจุบัน ไข้เลือดออกสามารถป้องกันได้โดยการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันไวรัสเดงกีที่ครอบคลุมทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยสามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี-60 ปี ทั้งในคนที่เคยเป็น หรือไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อนโดยไม่จำเป็นเจาะเลือดหาภูมิต้านทาน วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ ชนิดใหม่ เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ถึง 80.2% ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคไข้เลือดออกซ้ำ และช่วยป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4%
การปฐมพยาบาลไข้เลือดออกเบื้องต้น มีวิธีการอย่างไร?
- 1.ทานยาแก้ปวด ลดไข้กลุ่มพาราเซตามอน หรือ ยาอะเซตามีโนเฟน ห้ามทานยาแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยากลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกมากขึ้น
- 2.จิบน้ำเกลือแร่โอ อาร์ เอส (ORS) เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำในร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการอาเจียนอย่างต่อเนื่อง
- 3.เช็ดตัวเป็นระยะด้วยน้ำอุ่น เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย
- 4.ทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ
- 5.หมั่นสังเกตอาการ หากมีไข้ขึ้นสูง และไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด ควรรีบพบแพทย์